โรคหัวใจและหลอดเลือด
อวัยวะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่อยู่กลางอก นั้นคือ "หัวใจ" แต่ในความเป็นจริง โรคหัวใจนั้นกว้างมาก อาการที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ นั้นมีหลายอาการ ดังต่อไปนี้
หอบ เหนื่อยง่ายผิดปกติ
อาการเหนื่อยง่ายจากโรคหัวใจ และ ภาวะหัวใจล้มเหลวนั้น มักจะเหนื่อย หอบ หายใจเร็ว เวลาออกแรง แต่ในรายที่รุนแรง จะเหนื่อยในขณะอยู่เฉยๆได้ บางรายจะเหนื่อยมากจนนอนราบไม่ได้ (นอนแล้วไอ) ต้องนอนศรีษะสูงหรีอ นั้งหลับ ส่วนอาการเหนื่อยเพลีย ไม่มีแรงทำอะไร เหนื่อยใจ มือเท้าเย็น พูดก็เหนื่อย อาการเหล่านี้มักจะไม่ใช่อาการเหนื่อยจากหัวใจ
ใจสั่น
ใจสั่นในความหมายแพทย์หมายถึง การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะหรือ เต่นไม่สม่ำเสมอ อาการดังกล่าวอาจพบ ได้ในคนปกติ โรคหัวใจ และโรคอื่นๆ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอด
บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยรู้สึก "ใจสั่น" ไปเองโดยหัวใจเต้นปกติการตรวจวินิฉัยกลุ่มอาการชั่วขณะ เมื่อมาพบแพทย์อาการดังกล่าวก็หายไปแล้ว
เป็นลม หมดสติ
การหมดสติ หริอ เกือบหมดสติ โดยรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองภาพ ไม่ชัดเจน โดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ อาจเป็น ความผิดปกติของสมอง เช่น ลมชัก เลือดออกในสมอง หรือ ความผิดปกติของหัวใจก็ได้ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง หรือหยุดเต้นชั่วขณะ หรือ ระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจผิดปกติ
ขาบวม
การบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถ ไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรังก็ให้อาการเช่นนี้ได้เช่นกัน
อาการขาบวมเกิดจากการที่ร่างกายมีเกลือโซเดียมและน้ำคั่งค้างอยู่ในร่างกายโดยอาจเกิดจากโรคไต โรคหลอดเลือดดำอุดตัน ขาดอาหาร โปรตีนในเลือดต่ำ โรคตับ เกิดจากยาและฮอร์โมนบางชนิด ได้เช่นกัน
เนื่องด้วย ระบบหลอดเลือดและหัวใจนั้น เป็นระบบที่สำคัญอันดับต้นๆของสิ่งมีชีวิต และ เกี่ยวเนื่องกับอวัยวะเกือบทุกส่วนในร่างกาย
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ( Coronary Artery Disease )
เป็นภาวะที่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดการตีบตัน หรือยืดหยุ่นได้ไม่ดี เพราะมีไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงหัวใจได้ เกิดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจและอาจเกิดหัวใจวาย อันตรายถึงชีวิตได้
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก อ่อนเพลีย เหนื่อง่าย เหงื่อออก คลื่อนไส้ อาเจียน มีการเต้นของหัวใจผิดปกติ อาจจะเต้นช้าหรือเร็วไม่สม่ำเสมอหรือเป็นลมหมดสติ
การควบคุมอาหารและพฤติกรรมในผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
1. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ไข่แดง อาหารมัน อาหารทอด แกงกะทิ
2. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
4. งดสูบบุหรี่ งดดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
โรคกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลว ( Cardiomyopathy )
กล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลว เป็นอาการที่ไม่ใช่หัวใจหยุดเต้นทันทีแต่เป็นอาการที่กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ ซึ่งจะไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้แรงตามปกติทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ และอวัยวะสำคัญบางอย่างขาดออกซิเจน เช่นไต ทำให้ไตทำงานได้น้อย จึงเกิดภาวะคั่งน้ำและเกลือในร่างกาย
หาก หัวใจห้องซ้ายอ่อนแอ เลือดในเส้นเลือดดำ บางส่วนจะไหลกลับไปที่ปอด ปอดก็จะเกิดการคั่งของน้ำที่ปอด ผู้ป่วยก็จะประสบกับสภาวะที่เรียกว่าน้ำท่วมปอด ( Pulmonary edma )
หากหัวใจห้องขวาอ่อนแอ เลือดในเส้นเลือดดำบางส่วนจะไหลขึ้นกลับมาที่หัวใจไม่ได้ ก็จะเกิดการคั่งของน้ำที่ขาทำให้บวมที่เท้า
โรคไขมันในเลือดสูง
ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมองแตกได้ ไขมันมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ
1. คอเลสเตอรอล เป็นไขมันจำเป็นชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถผลิตได้เอง และได้รับจากอาหารกลุ่มไขมันจากสัตว์ ไขมันจากพืชบางชนิด เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล และไข่แดง ถ้าร่างกายได้รับคอเลสเตอรอลจะไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดการตีบตันของหลอดเลือดได้ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดโดยคอเลส เตอรอล แบ่งได้อีก 2 ชนิด ได้แก่
1.1 คอเลสเตอรอลชนิดร้าย ( Low Density Lipoprotein Cholesterol, LDL-C ) เป็นไขมันที่มีบทบาทสำคัญต่อการสะสมในผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งสร้างขึ้นจากอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว
1.2 คอเลสเตอรอลชนิดดี ( High Density Lipoprotein Cholesterol, HDL-C ) เป็นไขมันที่ช่วยให้คอเลสเตอรอลที่สะสมอยู่ถูกทำลาย จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
2. ไตรกลีเซอไรด์
เป็นไขมันที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นที่ตับ และได้รับจากอาหาร กลุ่มไขมัน ข้าว แป้ง และน้ำตาล ซึ่งถ้าร่างกายมีระดับไตรกลีเซอไรด์ในปริมาณสูงจะมีผลให้ต่อผนังหลอดเลือดได้เช่นเดียวกับการมีระดับคอเลสเตอรอลสูง
รู้ได้อย่างไรว่ามีภาวะไขมันในเลือดสูง
โดยการเจาะเลือดหลังอดอาหาร 12 ชั่วโมง ถ้าพบค่า
1. ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
คอเลสเตอรอลชนิดร้าย ( LDL ) มากกว่าหรือเท่ากับ130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
คอเลสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) น้อยกว่าหรือเท่ากับ50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
2. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
การควบคุมอาหารและพฤติกรรมในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูง
1. ลดการกินอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัวสูงและเลือกใช้น้ำมันให้ถูกต้อง คือ เลือกน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ แต่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำเข้า น้ำมันมะกอก เป็นต้น
2. ลดการกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่นเนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ไข่แดง เนย และ มาการีน
3. หลีกเลี่ยงการกินข้าว แป้ง และน้ำตาลในปริมาณสูง
4. หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ แหนม เนื่องจากมีส่วนประกอบจากไขมันสัตว์สูง
5. หลีกเลี่ยงการปรุงประกอบอาหารที่ผ่านการทอด โดยเฉพาะอาหารชุบแป้งทอด
6. ควรกินผัก ผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มใยอาหาร ทำให้การดูดซึมไขมันลดลงได้
7. ระดับ คอเลสเตอรอลชนิดดี HDL สามารถเพิ่มขึ้นได้จากการออกกำลังกาย
โรคความดันโลหิตสูง
เป็นโรคที่เกิดจากการกินอาหารที่มีโซเดียมสูงหรืออาหารที่มีรสเค็ม หรืออาจเกิดจากความอ้วน และโรคเบาหวาน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตให้ปกติได้ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังอื่นๆ มากขึ้น เช่น โรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง
1. มีอาการมึน วิงเวียนศรีษะ ปวดบริเวณท้ายทอย ใจสั่น เพลีย และคลื่อนไส้
2. ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท
ความดันโลหิตที่วัดได้ (mm Hg)* | |||
ความรุนแรงของความดันโลหิต | Systolic | Diastolic | จะต้องทำอะไร |
ความดันโลหิตที่ต้องการ | น้อยกว่า 120 | น้อยกว่า 80 | ให้ตรวจซ้ำใน 2 ปี |
ความดันโลหิตสูงขั้นต้น Prehypertension | 121-139 | 85-89 | ตรวจซ้ำภายใน 1 ปี |
ความดันโลหิตสูง | |||
ความดันโลหิตสูงระดับ 1 Stage 1 (mild) | 140-159 | 90-99 | ให้ตรวจวัดความดันอีกใน 2 เดือน |
ความดันโลหิตสูงระดับ 2 Stage 2 (moderate) | >160 | >100 | ให้พบแพทย์ใน 1 เดือน |
การควบคุมอาหารในผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
1. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม หรือลดการเติมเครื่องปรุงในอาหารเพิ่ม เช่น เกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว และซอสต่างๆ
2. ลดการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ แหนม รวมถึงขนมปัง เบเกอรี่ทั้งหลาย เนื่องจากมีปริมาณโซเดียมสูง
หน้าที่เข้าชม | 230,899 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 144,891 ครั้ง |
เปิดร้าน | 12 ส.ค. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |