
โรคเบาหวาน ประตูสู่ โรคไตวาย และ โรคเสื่อม
สิถิติปี 2550 พบผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกถึง 246 ล้านคนโดยผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย โดยเบาหวานเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้ต้องมีการตัดอวัยวะทิ้ง เช่น ตัดนิ้วเท้า ตัดเท้า ตัดขา เนื่องจากเบาหวานจะทำให้เป็นแผลไม่หายติดเชื้อลุกลาม                                         
80% ของผู้ป่วยเบาหวานจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โรคไตวาย โรคปลายประสาทอักเสบ โรคตาบอดในผู้ใหญ่ และโรคหัวใจและหลอดเลือด
เบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอหรือเกิดจากเซลล์ใช้น้ำตาลไม่ดีพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน ในระยะยาวมีผลในการทำลายระบบหลอดเลือด
โรคเบาหวานสามารถเปรียบเทียบให้เห็นภาพของระบบการทำงานของระบบเลือดในร่างกายคือ หัวใจเปรียบสะเหมือนปั้มน้ำ และ หลอดเลือดเปรียบเสมือนท่อยางส่งน้ำ โดยปกติแล้วน้ำในระบบก็คือเลือดจะไหลได้ดี แต่เมื่อมีการเติมน้ำตาลลงไปในน้ำก็จะทำให้น้ำเกิดการเหนียวข้นข้น หัวใจซึ่งทำหน้าที่เป็นปั้มก็จะต้องทำงานหนักขึ้น หลอดเลือดก็ต้องรับแรงดันที่มากขึ้น ยิ่งมีน้ำตาลในเลือดมากขึ้น น้ำหรือเลือดในระบบก็ยิ่งเหนียวขึ้น จนปั้มก็คือหัวใจเกิดพัง และ ท่อน้ำก็คือเส้นเลือดรับแรงดันมากเกิดการแตกรั่วออก ดังนั้นคนที่เป็นโรคเบาหวานจะมีโอกาศเกิดโรคแทรกซ้อนที่น่ากลัว ส่วนใหญ่ไม่ได้เสียชีวิตจากการเป็นโรคเบาหวาน แต่เสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนมากกว่า
ชนิดของเบาหวาน
เบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่ไม่สามารถหลั่งอินซูลินเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้ โรคเบาหวานแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ
1. เบาหวานชนิดพึ่งพาอินซูลิน ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินเข้าไป เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น มักพบในเด็ก หรือ ผู้ที่ตับอ่อนเสียหายจากยา กรืออุบัติเหตุ
2. เบาหวานชนิดไม่พึ่งพาอินซูลิน พบมากสุดในสังคมปัจจุบัน โดยจะพบในผู้สูงอายุ ผู้มีน้ำหนักเกิน ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เบาหวาน และผู้ที่เกิดความเสื่อมในตับอ่อน จากพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม ต้องรักษาด้วยการกินยาควบคู่กับดารควบคุมอาหาร
โรคแทรกซ้อนยอดฮิตจากเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นแล้วเรียกง่ายๆก็คือ ร่างกายเสื่อมผ่อนส่งโรคเหล่านี้มักเกิดเมื่อเป็น เบาหวาน อย่างน้อย 5 ปี และผู้ป่วยไม่ได้ดูแลรักษาอย่างจริงจัง
1. ภาวะแทรกซ้อนหลอดเลือดและเส้นประสาทส่วนปลาย ( Peripheral vascular disease )
เบาหวานจะทำให้เลือดหนืด จนกระทั้งไหลไปเลี้ยงหลอดเลือดเล็กๆ บริเวณปลายมือปลายเท้า ไม่ได้ก็จะทำให้เส้นประสาทนั้นไม่สามารถนำความรู้สึก เกิดอาการชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือ เมื่อผู้ป่วยมีแผล ผู้ป่วยก็จะไม่รู้ตัว และไม่ดูแลแผลดังกล่าว ประกอบกับเลือดผู้ป่วยมีน้ำตาลสูง จึงเป็นอาหารอย่างดีให้กับเหล่าเชื้อโรค แผลก็จะเน่าง่าย และนำไปสู่การตัดขาได้ ในผู้ชายอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เพราะ หลอดเลือดเล็กๆ ที่อวัยวะเพศไม่มีเลือดมาเลี้ยง เนื่องจากน้ำตาลสูง
2. ภาวะแทรกซ้อนทางไต ( Diabetic Nephropathy )
ไตมักจะเสื่อมจนเกิดภาวะไตวาย เนื่องด้วยหลอดเลือดเล็กๆ ในไตไม่มีเลือดไหลไปเลี้ยงเพราะเลือดหนืดเช่นกัน จนทำให้ไตเสียหายจากภายใน ทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตภายใน 3 ปีนับจากเริ่มมีอาการ
3. ภาวะแทรกซ้อนทางดวงตา ( Diabetic Retinopathy )
เกิดจากการที่น้ำตาลในเลือดสูงทำให้หลอดเลิอดเล็กๆ ในลูกตาเปราะ ฉีกขาดได้ง่ายเลือดและสารที่อยู่ในเลือดจะรั่วซึมออกมา ทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยแย่ลงตาหรือจอตาเสื่อม หรือมองเห็นจุดดำลอยไปมา และอาจทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
4. โรคหลอดเลือดหัวใจ ( Coronary Vascular Disease )
เบาหวานเป็นตัวการเร่งการเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกาย และเมื่อหลอดเลือดหัวใจเสื่อมสภาพจาก เบาหวาน ประกอบกับการมีไขมันในเลือดสูง ก็จะส่งผลให้มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิด โรคหัวใจขาดเลือด แต่หากหลอดเลือดเกิดอุดตัน ก็จะเป็น กล้ามเนื้อหัวใจตาย ในหมู่ผู้ป่วยเบาหวานบางราย กล้ามเนื้อหัวใจมีการบีบตัวน้อยกว่าปกติ อันเนื่องจากเส้นเลือดฝอยเล็กๆที่เลี้ยงเยื่อหุ้มหัวใจผิดปกติจากเบาหวาน ซึ่งจะทำการรักษาได้ยาก ปัญหาที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งของผู้ป่วยเบาหวาน คือ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจจะไม่แสดงอาการผิดปกติว่าเป็นโรคหัวใจให้เห็นก่อน เช่น มีอาการเจ็บหน้าอกเตือน ดังนั้นผู้ที่เป็นเบาหวานจะแสดงอาการครั้งแรกด้วยอาการที่รุนแรง เช่นกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจล้มเหลว ฉับพลันทันที ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
5. โรคหลอดเลือดสมอง ( Cerebrovascular Disease )
ผู้เป็นเบาหวานจะมีอัตราเกิดอัมพาตชนิดหลอดเลือดตีบที่สมองได้สูง 2-4 เท่า เพราะเบาหวาน ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งได้ง่ายโดยอาการเบื่องต้นสังเกตุได้จาก กล้ามเนื้อแขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีกอย่างทันทีทันใด ใบหน้าชาครึ่งซีกใดซีกหนึ่ง พูดกระตุกกระตัก สับสนหรือพูดไม่ได้เป็นครั้งคราว ตาพร่าหรือมืดมองไม่เห็นไปชั่วครู่ เห็นแสงผิดปกติ วิงเวียน เดินเซไม่สามารถทรงตัวได้ มีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรง นณะที่เคร่งเครียด หรือมีอารมณ์รุนแรง
          ปัจจัยเสี่ยงว่าเป็นโรคเบาหวาน
1. มีอาการหิวบ่อย กินจุ แต่อ่อนเพลีย
2. ปัสสาวะบ่อย ๆ โดยตื่นมากลางคืนเกิน 2 ครั้ง
3. ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 120 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
4. มีอาการชามือ ชาเท้า
5. สายตาไม่ค่อยดี พร่ามัว หรือเรียกว่าเบาหวานขึ้นตา
6. มีแผลง่าย หายยาก
7. มีการติดเชื้อง่าย
8. น้ำหนักลดมากอย่างไม่มีสาเหตุ
9. เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
จะตรวจว่าเป็นเบาหวานได้อย่างไร มีเพียงวิธีเดียวที่ชัดเจน คือ "การเจาะหาน้ำตาลในเลือด" สำหรับคนปกติแนะนำให้คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรจะเจาะเลือดทุกปี ถ้าหากปกติก็ให้เจาะทุก 3 ปี หากมีปัจจัยเสี่ยงข้างต้น ก็ควรที่เจาะเร็วขึ้นและบ่อยขึ้น
เมื่อเป็นเบาหวาน ต้องทำเช่นไร
เมื่อเป็นเบาหวานแล้วต้องควบคุมน้ำตาลให้ใกล้เคียงคนปกติ ซึ่งจะให้ผลดีหลายประการคือ
1. สามารถลดโรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน
2. ลดอาการเนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูง ตามัว น้ำหนักลด หิวบ่อย เพลีย ช่องคลอดอักเสบ
3. ลดโรคแทรกซ้อนทาง ตา , ไต , ปลายประสาทอักเสบ
4. ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแข็ง เช่น ทำให้ไขมันในเลือดใกล้เคียงปกติ
ปฏิบัติ 8 ข้อ ป้องกันโรคเบาหวาน
1. รับประทานอาหารให้ครบ 7 หมู่
2. รับประทานข้าวไม่ขัดสี สลับกับอาหารพวกแป้งเป็นบางมื้อ
3. รับประทานพีชผักให้มาก และรับประทานผลไม้ที่หวานน้อยเป็นประจำ
4. รับประทานเนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม้ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดเป็นประจำ
5. รับประทานน้ำตาลให้น้อยลง หลีกเลี่ยงน้ำหวาน และ น้ำอัดลม คุกกี้ เค็ก ขนมหวาน ลูกอม
6. รับประทานไขมันให้น้อย เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงการทอด
7. หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม โดยการเติมเกลือให้น้อย หลียเลี่ยงอาหารกระป๋อง
8. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ซึ่งทำลายตับอ่อน
ข้อควรระวังในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
1. ระวังระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน ( Hyperglycemia ) จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังอื่นๆได้แก่ ปัญหาเกี่ยวกับตา ไตเสื่อม ชาปลายมือ ปลายเท้า แผลหายช้า โรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจ
2. ระวังระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกิน ( Hypoglycemia ) กรณีที่ผู้ป่วยกินอาหารไม่ตรงเวลา หรือกินอาหารในปริมาณที่น้อยไป อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด เหงื่อออกมาก ใจสั่น และหมดสติได้ ให้แก้ไขโดยการอมลูกอมในช่วงน้ำตาลต่ำ ก็จะดีขึ้นได้
| หน้าที่เข้าชม | 231,086 ครั้ง | 
| ผู้ชมทั้งหมด | 145,078 ครั้ง | 
| เปิดร้าน | 12 ส.ค. 2556 | 
| ร้านค้าอัพเดท | 3 พ.ย. 2568 | 
