โรคเก๊าท์ เกิดจากการที่มีกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปรกติ ซึ่งสาเหตุที่กรดยูริกสูง ได้แก่ ภาวะที่มีการสร้างกรดยูริกสูง กรดยูริกในเลือดที่สูงในมนุษย์จะเป็นผลมาจากการที่ขาดยีนในการสลายกรดยูริก แล้ว ยังพบว่ากรดยูริกในร่างกายมนุษย์จะได้มาจาก 2 แหล่ง คือ
1. จากขบวนการสลายสารพิวรีนในร่างกาย โดยการสลายโปรตีนและได้สารพิวรินออกมา ซึ่งกรดยูริกในร่างกายส่วนใหญ่จะเกิดจากกระบวนการนี้ จากอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยรับประสานอาหารที่มีพิวรีนสูง 2. การขับกรดยูริกออกจากร่างกายลดลง กรดยูริกที่สร้างขึ้นจะมีการขับออกจากร่างกาย 2 ทางหลัก คือ ขับออกทางระบบทางเดินอาหาร และ ซึ่งการขับออกทางระบบทางเดินอาหารจะขับออกได้ประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณกรดยูริกที่ร่างกายสร้างได้ในแต่ละวัน ขับออกทางไต ส่วนที่เหลืออีก 2 ใน 3 เป็นการขับออกทางไต
จากการศึกษาในคนที่เป็นโรคเก๊าท์ 6 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา รายงานประสบการณ์ที่เคยเป็นโรคเก๊าท์ ในความเป็นจริงโรคเกาต์เป็นโรคที่พบมากที่สุดของโรคข้ออักเสบคือในคนอายุ เกิน 40 จะพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 มีความผิดปกติในการขับกรดยูริกออกทางไต กล่าวคือ ที่ความเข้มข้นของระดับกรดยูริกในเลือดที่เท่ากัน คนที่เป็นโรคเก๊าท์จะมีการขับกรดยูริกออกทางไตได้น้อยกว่าคนปกติที่ไม่มี ระดับกรดยูริกในเลือดสูงถึงร้อยละ 40 แสดงว่า ความผิดปกติหลักในผู้ป่วยโรคเก๊าท์อยู่ที่ความผิดปกติในการขับกรดยูริกออก ทางไต
นอกจากนี้คุณยังควรตระหนักถึงลักษณะบางอย่างที่อาจมีผลต่อโอกาสที่จะประสบปัญหาของโรคเก๊าท์:
- ผู้ชายโดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุระหว่าง 40 และ 50 มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเก๊าท์ได้มากกว่าผู้หญิง - ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเป็นโรคเก๊าท์หลังวัยหมดประจำเดือน - การเชื่อมโยงทางพันธุกรรม : หลายคนที่มีประวัติครอบครัวเคยเป็นโรคเก๊าท์ - โรคเก๊าท์ไม่ค่อยมีผลกระทบต่อเด็กหรือผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาว - คนเป็นโรคบางอย่างที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเก๊าท์ : ซึ่งรวมโรคเบาหวาน, คอเลสเตอรอลสูง, ความดันโลหิตสูงและปัญหาไต
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ กรรมพันธุ์ ผู้ชายจะเริ่มอายุ 35-40 ปี ส่วนผู้หญิงเริ่ม 45 ปีไปแล้ว อ้วน ถ้าน้ำหนักเกิน จะส่งผลให้กรดยูริกในเลือดสูงขึ้นด้วย อาหารที่มี purine สูง อาหารที่มีไขมันสูง โรคความดันโลหิตสูง ยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูงจะลดการขับกรดยูริก ยา aspirin ยารักษาวัณโรค เช่น pyrazinamide and ethambutol เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะกระตุ้นให้มีการสร้างกรดยูริกเพิ่ม ไตเสื่อม โรคที่ทำให้กรดยูริกสูงเช่นโรคมะเร็ง โรคเม็ดเลือดแดงแตก ภาวะขาดน้ำ การไดรับอุบัติเหตุที่ข้อ ได้ยาลดกรดยูริก
โรคเกาต์จะหมายถึงภาวะที่มีการเกาะของยูริกที่ข้อทำให้เกิดการอักเสบ มีอาการปวด บวมแดงร้อน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์อาจจะมีกรดยูริกในเลือดสูงหรือปกติก็ได้ และผู้ที่มีกรดยูริกในเลือดสูงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเกาต์เสมอไป โรคเกาต์เป็นในผู้ชายมากว่าผู้หญิง 9 เท่าและมักเป็นวัยกลางคนขึ้นไป ส่วนผู้หญิงมักเป็นหลังจากหมดประจำเดือน
ภาวะแทรกซ้อน โรคเกาต์ หากไม่ได้รักษา อย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะไตอักเสบ หรือ ไตวายเรื้อรังตามมาได้ นอกจากนี้ ผลึกของกรดยูริค อาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ได้เช่นกัน
อาการของโรคเก๊าท์กำเริบมักจะทำให้ต้องหยุดงานอย่างกระทันหัน ไม่มีการเตือนใดๆ และมั้กเป็นในเวลากลางคืน ในบริเวณที่เป็นผู้ป่วยจะมีอาการ "ปวด บวม แดง ร้อน" ที่ข้อชัดเจน เป็นเร็ว และมักเป็นข้อเดียว ข้อที่เป็นบ่อยได้แก่ ข้อนิ้วหัวแม่เท้า, ข้อเท้า, ข้อเข่า
โรคเก๊าท์อาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ตามข้อต่างๆ ขณะที่เก๊าท์กำเริบส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณหัวแม่เท้า และสามารถสามารถเกิดขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้เช่นกัน ในการสำรวจผู้ป่วยโรคเก๊าท์พบว่า % ของเก๊าท์ที่เมื่อเป็น มักเกิด การอักเสบเฉียบพลัน กับข้อกระดูกใดข้อกระดูกหนึ่ง ไม่เป็นหลายข้อ ในเวลาเดียวกัน :
ถ้าผู้ป่วยปวดข้อ แต่สงสัยว่ามีปวด บวม แดง ร้อนหรือไม่ หรือตรวจไม่พบ ไม่ชัดเจน ให้สงสัยว่าไม่ใช่เก๊าท์ รายที่เป็นเรื้อรังอาจมีปวดหลายข้อและพบมีปุ่มก้อนที่รอบ ๆ ข้อ เช่น ข้อเท้า, ส้นเท้า, ข้อมือ, นิ้วมือ ได้ ถ้าก้อนเหล่านี้แตกออกจะพบตะกอนยูริคคล้ายผงชอล์กไหลออกมา การเจาะเลือดตรวจระดับกรดยูริคในเลือด ในช่วงที่มีข้ออักเสบอาจพบว่า สูง ต่ำ หรือเป็นปกติได้
ดังนั้นผู้ที่มีอาการข้ออักเสบเพราะโรคเก๊าท์ ไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดในขณะนั้น และไม่ช่วยในการวินิจฉัย ดังนั้น.. ถ้าอาการปวด บวม แดง ร้อน ที่ข้อไม่ชัดเจน ถ้าเป็นบริเวณที่ข้อเท้า แล้วผู้ป่วยเดินได้สบาย แม้ว่าเจาะเลือดแล้วยูริคสูง ก็ให้สงสัยว่าไม่ใช่โรคเก๊าท์ ถ้ามีอาการปวด บวม แดง ร้อนที่ข้อชัดเจน เป็นในตำแหน่งข้อเท้า ข้อนิ้วหัวแม่เท้า เป็นเร็ว แม้ว่าจะเจาะยูริคแล้วไม่สูง ก็น่าจะเป็นโรคเก๊าท์
แสดงภาพจากกล้องจุลทรรศน์ ที่ได้จากการตรวจน้ำไขข้อของผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ซึ่งเป็นวิธีการวินิจฉัยโรคที่แน่นอนที่สุด
หากคุณเป็นโรคเกาต์คุณอาจจะประหลาดใจที่มันสามารถโจมตีได้อย่างเงียบ ๆ แม้ระหว่างที่โรคเก๊าท์กำเริบ คุณอาจไม่รู้สึกถึงมัน แต่ต้นเหตุของโรคเกาต์คือภาวะที่มีกรดยูริกในเลือดสูง สามารถทำให้ตกผลึกในรูปแบบต่อเนื่องและสร้างขึ้นในข้อต่อของคุณ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ อาจนำไปสู่การตกผลึกเพิ่มในข้อต่ออื่น ๆ อาการปวดคงที่แต่มีการทำลายร่วมกัน
ตำแหน่งที่ปวด เริ่มเป็นข้อจะยังไม่ถูกทำลายหากเป็นนานข้อจะถูกทำลาย และมีอาการปวด บวม แดง ร้อน โดยเฉพาะบริเวณนิ้วหัวแม่เท้าเป็นข้อที่พบบ่อยที่สุด จะมีอาการปวดข้อ โดยมากปวดข้อเดียวแต่ก็ปวดหลายข้อได้ อาการปวดมักเป็นๆหายๆ หรือเรื้อรัง ข้อที่ปวดพบได้ทุกข้อ แต่พบมากข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ข้อนิ้วและข้อศอก พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในรายที่เป็นมานานอาจพบนิ่วทางเดินปัสสาวะ มักปวดตอนกลางคืนอาการปวดจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจัยกระตุ้นได้แก่การรับประทานอาหารที่มี uric สูง ดื่ม alcohol ผ่าตัด ความเครียด ข้อที่พบว่าอักเสบได้บ่อยได้แก่ ข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ และข้อศอกเรียงตามลำดับ พบว่าข้อที่เป็นจะบวม แดง กดเจ็บจากรูปจะเห็นข้อนิ้วหัวแม่เท้าบวมและแดง ในรายที่เป็นเรื้อรังจะมีการรวมตัวของกรดยูริกเกิดเป็นก้อนที่ข้อเรียก Tophi
เก๊าท์ รักษาได้หายขาด จริงหรือ ? ต้องทำยังไง ?
จริง ถ้าเรายอมรับว่า ผู้ป่วยที่รักษาแล้ว ไม่มีอาการปวดข้ออีกเลยตลอดชีวิต เรียกว่าหายเป็นโรคเก๊าท์
การรักษาโรคเก๊าท์จะต้องประกอบไปด้วยการดูแลตัวเองเพื่อมิให้กรดยูริก ขึ้น เช่น การลดอาหารเนื้อสัตว์ ลดสุรา และการใช้ยาลดกรดยูริก เรามีวิธีปฏิบัติเมื่อเจาะเลือดแล้วพบว่ากรดยูริกในเลือดสูง
Acute Gouty Arthritis
โรคเก๊าท์จำเป็นต้องได้รับการรักษาเป็น 2 ระยะ ในความดูแลของแพทย์ ได้แก่
การรักษาในระยะเฉียบพลัน คือ การรักษาช่วงที่มีการอักเสบของข้อ โดยในช่วงที่มีอาการปวดอาจจะรับประทานยาแก้ปวด paracetamol หรือยาแก้ปวดอื่น และยาลดการอักเสบของข้อที่นิยม ได้แก่ ยา โคลชิซิน (Colchicine) กินวันละไม่เกิน 3 เม็ด (เช่น 1 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ) จะทำให้ผู้ป่วยหายจากข้ออักเสบในเวลา 1-2 วัน อาจทำให้ข้ออักเสบหายเร็วขึ้น ถ้าใช้ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ บางครั้งอาจมีผู้แนะนำให้กินยาโคลชิซิน (Colchicine) 0.5 mg 1 เม็ด ทุก 1-2 ชั่วโมง จนกว่าอาการปวดจะดีขึ้นหรือเกิดอาเจียน หรือจนกว่าจะท้องเสีย ถ่ายเหลว ซึ่งไม่แนะนำ เพราะผู้ที่กินยานี้ จะท้องเสียก่อนหายปวดเสมอ และอาจให้ยาแก้ปวด NSAID เช่น aspirin,indomethacin,ibuprofen,naproxyn,piroxicam ยากลุ่มนี้มีข้อเสียคือปวดท้องและเลือดออกทางเดินอาหารได้
ช่วงที่ปวดให้พักและดื่มน้ำมากๆเพื่อป้องกันการตกตะกอนของกรดยูริก ให้นอนพัก ยกเท้าสูง หลีกเลี่ยงการยืนหรือการเดิน
การรักษาป้องกันข้ออักเสบ เป็นการรักษาเพื่อมิให้มีการอักเสบของข้อเรื้อรัง โดยใช้ยา colchicine 0.6 mg วันละ 1-4 เม็ด ถ้าเริ่มมีอาการของข้ออักเสบให้เพิ่มได้อีก วันละ 1-2 เม็ด การลดกรด uric ในเลือด ในกรณีที่กรด uric >9 mg% และยังมีการอักเสบของข้อหรือไตเริ่มมีอาการเสื่อม โดยถือหลักการว่า ถ้าเราลดระดับยูริคในเลือดได้ ต่ำกว่า 7 มก./ดล. จะทำให้ยูริคที่สะสมอยู่ละลายออกมา และขับถ่ายออกจนหมดได้ ยาที่นิยมใช้ได้แก่
1. ยาแผนปัจจุบัน อัลโลพูรินอล (Allopurinol) ขนาด 100-600 mg/วัน เช่น probenecid 500 mg ให้ครึ่งเม็ดวันละ 2 ครั้งค่อย ๆ เพิ่ม เนื่องจากยานี้จะเพิ่มการขับกรดยูริกทางปัสสาวะ ยานี้ควรระวังในผู้ป่วยที่ไตเสื่อมเนื่องจากอาจจะเกิดอาการผื่นและแพ้ยาได้ ไม่ควรให้ในผู้ป่วยที่มีนิ่วในไตและควรแนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ ยานี้ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง กินยาสม่ำเสมอ และกินไปนานอย่างน้อย 3-5 ปี เพื่อกำจัดกรดยูริคให้หมดไปจากร่างกาย การกิน ๆ หยุด ๆ จะทำให้แพ้ยาได้ง่าย ซึ่งเป็นผื่นผิวหนังชนิดรุนแรง ยากลุ่มนี้ไม่ควรให้ขณะที่มีการอักเสบของข้อเพราะจะทำให้ข้ออักเสบเพิ่มขึ้น ให้ดื่มน้ำมากกว่า 3 ลิตร/วัน
2. ยาแผนปัจจุบัน เฟบบูโซสตัท (FEBUXOSTAT) ภายหลังการทบทวนข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญใน US FDA มีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 12-0 รับรองให้ เฟบบูโซสตัท (FEBUXOSTAT) เป็นยาใหม่ตัวแรกในรอบ 40 ปี ที่มีข้อบ่งใช้ในการรักษาโรคเก๊าท์ ในขนาดความแรง 40- และ 80 มิลลิกรัม (บริษัททาเคดะผู้ผลิตยา แนะนำให้ใช้ขนาด 80 มิลลิกรัม เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคเก๊าท์ที่มีอาการรุนแรง)
แต่เดิม อัลโลพูรินอล (Allopurinol) เป็นยาแผนปัจจุบันเพียงชนิดเดียวที่มีข้อบ่งใช้ในการรักษาโรคเก๊าท์ โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างผลึกของกรดยูริคซึ่งเป็นสาเหตุของโรค ขนาดยาสูงสุด ต่อวันที่แนะนำคือ 800 มิลลิกรัม แต่โดยทั่วไปมักจะให้ยาในขนาด ≤ 300 มิลลิกรัม จึงไม่ค่อยเห็นผลในการรักษาเท่าใดนัก ทั้งนี้เพราะข้อจำกัดบางประการและผลข้างเคียงของยาซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่สามารถทนต่อขนาดยาที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการ รักษาได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ที่มีการทำงานของไตบกพร่อง จำเป็นต้องปรับลดขนาดยา allopurinol จากปกติ จึงให้ผลการรักษาไม่เต็มที่ในผู้ป่วยเหล่านี้ อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือ ท้องไส้ปั่นป่วน ปวดศีรษะ ถ่ายเหลว และผื่นคัน
แต่ในปัจจุบันมียาตัวใหม่ชื่อเฟบบูโซสตัท (FEBUXOSTAT) จากผลงานวิจัย (สนับสนุนโดยบริษัทผู้ผลิต) ซึ่งทำการศึกษาเปรียบเทียบกันระหว่างการให้ อัลโลพูรินอล (Allopurinol) กับ เฟบบูโซสตัท (FEBUXOSTAT) พบว่า เฟบบูโซสตัท (FEBUXOSTAT) 80 mg ให้ผลการรักษาดีกว่า ขณะที่ เฟบบูโซสตัท (FEBUXOSTAT) 40 mg ให้ผลพอๆ กันกับการให้ อัลโลพูรินอล (Allopurinol) อย่างไรก็ตาม เฟบบูโซสตัท (FEBUXOSTAT) ถูกขับออกทางไตเพียงเล็กน้อย จึงสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยในผู้ป่วยที่ไตทำงานบกพร่อง และจากการศึกษาทางคลินิกระยะที่ 3 ในผู้ป่วยโรคเก๊าท์จำนวนมาก พบว่า เฟบบูโซสตัท (FEBUXOSTAT) ไม่มีผลทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหรือการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น หรือแตกต่างไปจาก อัลโลพูรินอล (Allopurinol) แต่อย่างใด อาการข้างเคียงจากการใช้ยาที่พบบ่อยคือ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อ และถ่ายเหลว ผู้ป่วยทนต่อยาได้ดี การใช้ยาระยะยาวไม่มีผลทำให้อาการข้างเคียงเพิ่มขึ้น
3. ยาแผนโบราณ
ข้อคำนึงในการรักษาได้แก่
ยาลดกรดยูริคมีผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ จึงสงวนไว้ใช้ในผู้ป่วยเก๊าท์เท่านั้น ผู้ที่ตรวจเลือดแล้วพบว่า ยูริคสูง โดยไม่มีอาการปวดข้อแบบเก๊าท์มาก่อน ไม่มีความจำเป็นต้องกินยานี้ เพราะผู้ที่ยูริคสูงไม่ได้เป็นเก๊าท์ทุกคน เพียงแนะนำให้ลดอาหารที่มี purine ดื่มน้ำมากๆ การจะให้ยาลดกรดยูริกจะให้ในกรณีที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต การกินยาทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงโดยไม่จำเป็น เมื่อมีอาการปวดข้อเกิดขึ้น อย่านวด เพราะการนวด หรือใช้ยาทาถู ทำให้อาการข้ออักเสบ เป็นนานขึ้น หายช้า ในผู้ที่มีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์ เป็นครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องเริ่มยาลดยูริคตั้งแต่แรก เพราะผู้ป่วยส่วนหนึ่ง มีอาการข้ออักเสบ เพียงครั้งเดียวในชีวิต และไม่เป็นอีก และพบว่าการเริ่มกินยาลดกรดยูริคในขณะที่ข้ออักเสบ จะทำให้ข้ออักเสบหายช้าลง ในผู้ป่วยที่กินยาลดกรดยูริคอยู่ อาจพบว่ามีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์ได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องหยุดยา เพียงแต่รักษาข้ออักเสบตามข้างต้น และเมื่อกินยาต่อไปเรื่อย ๆ จะพบว่า ข้ออักเสบจะเป็นห่างขึ้น เป็นน้อยลง หายเร็วขึ้น จนกระทั่งไม่มีอาการข้ออักเสบอีกเลย หลังจากกินยาไปแล้ว 3-5 ปี อาจลองพิจารณาหยุดยาได้ ในผู้ป่วยที่อายุมาก เนื่องจากยูริคที่เริ่มสูงขึ้นหลังจากหยุดยา กว่าจะเริ่มสะสมจนเกิดข้ออักเสบนั้น กินเวลา หลายสิบปี จนอาจไม่เกิดอาการอีกเลยตลอดชีวิต
หน้าที่เข้าชม | 230,899 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 144,891 ครั้ง |
เปิดร้าน | 12 ส.ค. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |